วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

แนวทางการใช้งานโทรศัพท์มือถือให้ปลอดภัยจากภัยคุกคาม

แนวทางการใช้งานโทรศัพท์มือถือให้ปลอดภัยจากภัยคุกคาม

เนื่องด้วยความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่งผลให้มีผู้พัฒนาและผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือโทรศัพท์มือถือ ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยแต่ละผู้พัฒนาก็มีแนวคิดคล้ายกันคือต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานมากที่สุด สังเกตได้จากสื่อโฆษณาทั่วไปที่มีการโฆษณาถึงความสามารถของโทรศัพท์มือถือในแต่ละฟังก์ชั่นการทำงาน เช่น สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายเพื่อความสะดวกในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ สามารถรับชมวีดีโอบนโทรศัพท์มือถือเพื่อความบันเทิง เป็นต้น แต่จากความสามารถและข้อดีหลายประการของโทรศัพท์มือถือ ก็ยังถูกเจือปนหรือแอบแฝงไปด้วยภัยอันตรายหรือภัยคุกคามหลายประการ ซึ่งผู้ใช้งานอีกจำนวนมากที่อาจจะยังไม่เคยทราบถึงภัยคุกคามจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ส่งผลให้ผู้ไม่หวังดีสามารถโจมตีหรือขโมยข้อมูลต่างๆได้โดยง่าย เช่น การปลดล๊อคโทรศัพท์มือถือเพื่อนำไปติดตั้งซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย ส่งผลให้ระบบปฎิบัติการบนโทรศัพท์มือถือมีช่องโหว่ เป็นต้น และจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับกันว่าโทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับองค์กรหรือบริษัทส่วนใหญ่ที่ต้องการให้พนักงานใช้ในการติดต่อสื่อสารเพื่อภารกิจขององค์กร หรือใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูล ซึ่งโทรศัพท์มือถือขนาดย่อมและมีราคาไม่สูงมากที่วางขายตามท้องตลาด ก็ยังมีความสามารถเทียบเท่าและสามารถใช้งานเพื่อสนับสนุนภารกิจขององค์กรได้ เช่น การใช้งาน VoIP [1] (Voice over IP) ขององค์กร การเข้าถึงเอกสารที่จัดเก็บอยู่บนเว็บไซต์ขององค์กร รวมถึงการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ขององค์กร เป็นต้น ซึ่งในขณะที่อุปกรณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย แต่ในทางกลับกันก็ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ที่องค์กรอาจจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำให้องค์กรอาจมีความจำเป็นต้องหาแนวทางปกป้องหรือรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้ได้มากที่สุด หรือในอีกมุมหนึ่ง องค์กรอาจจำเป็นต้องกำหนดนโยบายการใช้งานโทรศัพท์มือถือของพนักงานทั้งหมด เพื่อควบคุมหรือจำกัดการเข้าถึงข้อมูลขององค์กรเป็นหลัก ซึ่งในเอกสารฉบับนี้จะอธิบายถึงความสามารถของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน ข้อแตกต่างระหว่างโทรศัพท์มือถือทั่วไปที่มีราคาต่ำ ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือที่เรียกกันว่า Smart Phone ที่มีราคาและความสามารถสูงขึ้น รวมถึงได้มีการรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับภัยคุกคามและความเสี่ยงของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ มาตรการป้องกันและแนวทางปฎิบัติของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ เพื่อควบคุมมิให้เกิดความเสียหายต่อตัวผู้ใช้งานและองค์กร 

ประเภทของโทรศัพท์มือถือ

  • Basic Phone เป็นโทรศัพท์มือถือทั่วไปที่มักจะมีเพียงฟังก์ชั่นพื้นฐานในการโทรศัพท์และการรับส่งข้อความสั้น (SMS) อาจมีวิวัฒนาการในการแสดงผลแบบจอภาพสีหรือขาวดำ ตัวอย่างเช่น Nokia 3310 เป็นต้น
  • Smart Phone เป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถพิเศษคล้ายคอมพิวเตอร์ รองรับระบบปฎิบัติการต่างๆ ที่เพิ่มเติมความสามารถของ PDA (Personal Digital Assistant) ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รองรับการทำงานมัลติมีเดียหลายรูปแบบ รองรับการติดต่อสื่อสารแบบไร้สาย เช่น Bluetooth, GPRS, EDGE, 3G และ WiFi เป็นต้น ในการติดต่อสื่อสาร โดยส่วนใหญ่มักจะใช้ควบคู่กับบริการเสริมจากโอเปอเรเตอร์ โดยในประเทศไทยมีโอเปอเรเตอร์หลักๆ อยู่ 3 รายด้วยกัน คือ AIS, DTAC และ Truemove ดังนั้น Smart Phone จึงไม่ได้เป็นแค่โทรศัพท์มือถือที่เพียงใช้ในการรับสายเข้า โทรออก ฟังเพลง หรือ ถ่ายวีดีโอ เท่านั้น แต่ยังสามารถรองรับการใช้งานระดับเครือข่ายที่มีการติดต่อสื่อสารทั่วโลก เช่น การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ แบ่งปันข้อมูลออนไลน์ การโทรศัพท์ผ่าน VoIP เป็นต้น ยังไม่รวมถึงระบบปฏิบัติการบนมือถือของแต่ละค่ายที่มีอยู่ในตลาดอย่างมากมาย [2] ไม่ว่าจะเป็น Apple iOS Google Android Microsoft Windows Phone Nokia Symbian และ Research in Motion (RIM) BlackBerry OS เป็นต้น ซึ่งระบบปฏิบัติการแต่ละค่ายต่างก็มีความสามารถในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม และยังสามารถอัพเดทข้อมูลที่เป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ตารางนัดหมาย ระหว่างมือถือกับเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ตรงกันได้ ซึ่งจากข้อมูลความสามารถของโทรศัพท์ที่ได้กล่าวไป ทำให้เห็นว่าวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันสามารถทำงานได้เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมเคลื่อนที่เลยก็ว่าได้ โดยต่อไปจะเป็นการอธิบายถึงภัยคุกคามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันและแนวทางในการป้องกัน เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบและป้องกันภัยได้ด้วยตนเอง ซึ่งได้มีการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ไว้ดังนี้

ภัยคุกคามบนโทรศัพท์มือถือ

ภัยคุกคามจากการใช้งานโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ (Application-Based Threats) 
โปรแกรมจำนวนมากที่ถูกดาวน์โหลดมาเพื่อติดตั้งบนอุปกรณ์มือถือ พบว่ายังไม่สามารถตรวจสอบลักษณะการทำงานในด้านความปปลอดภัยได้ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าโปรแกรมที่ติดตั้งไปเพื่อใช้ประโยชน์มากมายนั้น จะถูกแฝงมาด้วยปัญหาด้านความปลอดภัยหรือไม่ โดยภัยคุกคามที่มากับโปรแกรมที่ติดตั้งสามารถเป็นได้มากกว่าหนึ่งประเภทดังที่จะกล่าวดังต่อไปนี้
  • มัลแวร์ (Malware) คือโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อข้อมูลในโทรศัพท์มือถือนั้นๆ ตัวอย่างเช่น สั่งให้โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นๆ ส่งข้อความที่ไม่พึงประสงค์ออกไปยังรายการผู้ติดต่อในโทรศัพท์ โดยที่ผู้ใช้งานหรือเจ้าของโทรศัพท์นั้นไม่รู้ตัว หรือขโมยข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือนั้น ซึ่งในกรณีที่ผู้ใช้งานเก็บข้อมูลบัญชีผู้ใช้ของตนเองหรือของผู้เกี่ยวข้องไว้ในโทรศัพท์ก็อาจทำให้เกิดการเข้าโจรกรรมข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
  • สปายแวร์ (Spyware) คือโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้งาน โดยเป้าหมายส่วนใหญ่ของสปายแวร์มักมุ่งไปยัง ประวัติการใช้งานโทรศัพท์ ข้อความ ที่อยู่ รายชื่อผู้ติดต่อ อีเมล รวมถึงภาพถ่าย ซึ่งสปายแวร์โดยทั่วไปมักได้รับการออกแบบสำหรับการเฝ้าติดตามการใช้งานของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับองค์กร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการที่จะใช้สปายแวร์ที่กำหนดเป้าหมาย ซึ่งไม่จำเป็นเสมอไปที่ผู้ลักลอบติดตั้งโปรแกรมประเภทนี้จะเป็นผู้มีจุดประสงค์ร้ายทั้งหมด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าโปรแกรมประเภทนี้ถูกติดตั้งโดยผู้ที่เป็นผู้ปกครองซึ่งมีความหวังดีต่อผู้ใช้งาน เช่น ผู้ปกครองติดตั้งโปรแกรมการตรวจสอบสถานที่การใช้งานบนโทรศัพท์มือถือของลูกที่อยู่ในการดูแล
    การเข้าโจมตีผู้ใช้งานและโทรศัพท์มือถือด้วยมัลแวร์และสปายแวร์ ส่วนใหญ่ จะพบว่าใช้เทคนิคในการหลอกลวงผู้ใช้งานให้การดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งโดยไม่รู้ตัว เช่น ให้คลิกที่ลิงก์ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะมีความผิดปกติอะไร แต่จริงๆแล้วนั่นคือการสั่งให้ดาวน์โหลดและติดตั้งมัลแวร์ลงในโทรศัพท์มือถือดังกล่าว และเมื่อมัลแวร์หรือสปายแวร์ติดตั้งโปรแกรมเสร็จแล้วก็จะสู่กระบวนการโจมตีในลักษณะต่างๆ ต่อไป นอกจากนี้ยังมีการหลอกลวงในลักษณะที่พบเห็นได้บ่อยครั้งคือการ Repackaging ซึ่งเป็นเทคนิคที่พบบ่อยมากในนักเขียนมัลแวร์ที่พยายามจะใช้ชื่อโปรแกรมที่มีการทำงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนการทำงานของโปรแกรม รวมถึงแทรกโค้ดที่เป็นอันตรายไว้ในเวอร์ชันที่เตรียมจะเผยแพร่ จากนั้นจึงทำการเผยแพร่ไปยังแหล่งให้ดาวน์โหลดโปรแกรมต่างๆ ทั่วไป รวมถึงบนเว็บไซต์ที่ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้งานเข้าใจผิดและติดตั้งโปรแกรมดังกล่าวบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเทคนิคการ Repackaging ได้ผลลัพธ์ในการโจมตีค่อนข้างสูงเนื่องจากการอ้างอิงชื่อโปรแกรมที่เคยพัฒนามาแล้ว โดยจะพบได้จากในช่วงต้นปี 2011 นักเขียนมัลแวร์บนระบบปฎิบัติการ Android ใช้เทคนิคในการ Repackaging ซึ่งสามารถอ้างอิงข้อมูลได้ตามรูปด้านล่าง 
    • ช่องโหว่ในโปรแกรมที่ใช้งาน คือ พฤติกรรมการทำงานของโปรแกรมที่มีความผิดพลาด โดยถูกค้นพบและสามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นอันตราย ซึ่งการค้นพบช่องโหว่ดังกล่าวมักจะส่งผลให้ผู้ค้นพบสามารถโจมตีโดยการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญหรือการดำเนินการที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวมักถูกแจ้งไปยังผู้พัฒนา เพื่ออัพเดทโปรแกรมแก้ไข โดยหลังจากมีการแก้ไขช่องโหว่แล้ว ผู้พัฒนาจะแจ้งการอัพเดทโปรแกรมกลับมายังผู้ใช้งานอีกครั้งหนึ่ง
  • ภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้งานเว็บไซต์บนโทรศัพท์มือถือ (Web-based Threats)
    เนื่องจากโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่สามารถใช้งานการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จากเครือข่ายไร้สายทั่วไป ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกสำหรับผู้ใช้งานในการเข้าถึงเว็บไซต์หรือบริการอื่นๆ ซึ่งโดยทั่วไปบริการส่วนใหญ่สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้เป็นหลักและเป็นบริการที่ผู้ใช้งานมีความต้องการใช้งาน เช่น การอ่านอีเมล การใช้งานธุรกรรมออนไลน์ การเข้าระบบที่เป็นสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์มักไม่มีข้อจำกัดทางด้านระบบปฎิบัติการที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้น เช่น การโจมตีแบบฟิชชิ่ง ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป โดยภัยคุกคามดังที่กล่าวนี้แต่ก่อนอาจพบว่ามีแต่ที่เจอในการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างมายังโทรศัพท์มือถือด้วย เนื่องจากลักษณะการใช้งานที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกันมากในทุกวันนี้ โดยสามารถระบุภัยคุกคามต่างๆ ได้ดังนี้
    • ฟิชชิ่ง (Phishing) [4] คือการหลอกลวงชนิดหนึ่งโดยใช้หน้าเว็บไซต์หรือส่วนติดต่อผู้ใช้อื่น ๆ ที่ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับของจริง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบของผู้หลอกลวง เช่น ผู้หลอกลวงพัฒนาหน้าเว็บไซต์ล็อกอินของ Facebook และส่งลิงก์หลอกลวงโดยแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จให้ผู้ใช้งานเข้าอัพเดทข้อมูลส่วนบุคคลโดยเป็นลิงก์ของหน้าล็อกอินที่ทำขึ้นมาดังที่กล่าวไว้ตอนต้น เมื่อผู้ใช้งานพยายามล็อกอินเข้าไปยังระบบ จะทำให้ผู้หลอกลวงดังกล่าวสามารถดักจับข้อมูลอันน่าเชื่อได้ว่าเป็นข้อมูลล็อกอินของผู้ใช้งานคนนั้นๆ ทำให้ข้อมูลหรือบัญชีการใช้งานนั้นๆ มีความเสี่ยงที่จะโดนขโมยข้อมูลออกไป ซึ่งลิงก์ที่เป็นการฟิชชิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะแนบไปกับอีเมล หรือเป็นลิงก์ซึ่งมีเนื้อหาเชิญชวนต่างๆ โดยความรุนแรงของการถูกขโมยข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบในทันทีถ้าหากมีการเข้ายับยั้งได้ทัน เช่น เมื่อทราบว่าได้มีการส่งข้อมูลเข้าหน้าเว็บไซต์ฟิชชิ่งไปแล้ว จึงรีบเข้าเปลี่ยนรหัสผ่านในหน้าเว็บไซต์ของระบบจริงทันที ก็จะทำให้ความเสียหายไม่เกิดขึ้นในวงกว้าง แต่หากผู้ใช้งานปล่อยให้ผู้หลอกลวงสามารถเข้าถึงบัญชีการใช้งานต่างๆ ซึ่งในกรณีที่เป็นระบบที่มีความเสียหายรุนแรง เช่น ระบบธุรกรรมออนไลน์ (e-Transaction) นั่นเท่ากับผู้หลอกลวงจะสามารถใช้เงินในบัญชีผู้ใช้งานนั้นได้ทันที
    • ช่องโหว่ของโปรแกรมประเภทเบราว์เซอร์ คือ ช่องโหว่ที่ถูกพบในโปรแกรมเบราว์เซอร์หรือโปรแกรมปลั๊กอินที่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ในเบราว์เซอร์ เช่น Flash player หรือ PDF Reader เพื่อวัตถุประสงค์อันตราย โดยลักษณะและวิธีการโจมตีอาจเป็นเพียงแค่การให้ผู้ใช้งานเข้าชมหน้าเว็บไซต์เท่านั้น จากนั้นจะทำให้ผู้ใช้งานติดมัลแวร์หรือโปรแกรมอันตรายต่างๆ ที่ผู้โจมตีใช้สำหรับช่องโหว่ดังกล่าว
      • ช่องโหว่ในโปรแกรมที่ใช้งาน คือ พฤติกรรมการทำงานของโปรแกรมที่มีความผิดพลาด โดยถูกค้นพบและสามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นอันตราย ซึ่งการค้นพบช่องโหว่ดังกล่าวมักจะส่งผลให้ผู้ค้นพบสามารถโจมตีโดยการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญหรือการดำเนินการที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวมักถูกแจ้งไปยังผู้พัฒนา เพื่ออัพเดทโปรแกรมแก้ไข โดยหลังจากมีการแก้ไขช่องโหว่แล้ว ผู้พัฒนาจะแจ้งการอัพเดทโปรแกรมกลับมายังผู้ใช้งานอีกครั้งหนึ่ง
    • ภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้งานเว็บไซต์บนโทรศัพท์มือถือ (Web-based Threats)
      เนื่องจากโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่สามารถใช้งานการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จากเครือข่ายไร้สายทั่วไป ซึ่งทำให้เกิดความสะดวกสำหรับผู้ใช้งานในการเข้าถึงเว็บไซต์หรือบริการอื่นๆ ซึ่งโดยทั่วไปบริการส่วนใหญ่สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้เป็นหลักและเป็นบริการที่ผู้ใช้งานมีความต้องการใช้งาน เช่น การอ่านอีเมล การใช้งานธุรกรรมออนไลน์ การเข้าระบบที่เป็นสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์มักไม่มีข้อจำกัดทางด้านระบบปฎิบัติการที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้น เช่น การโจมตีแบบฟิชชิ่ง ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป โดยภัยคุกคามดังที่กล่าวนี้แต่ก่อนอาจพบว่ามีแต่ที่เจอในการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างมายังโทรศัพท์มือถือด้วย เนื่องจากลักษณะการใช้งานที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกันมากในทุกวันนี้ โดยสามารถระบุภัยคุกคามต่างๆ ได้ดังนี้
      • ฟิชชิ่ง (Phishing) [4] คือการหลอกลวงชนิดหนึ่งโดยใช้หน้าเว็บไซต์หรือส่วนติดต่อผู้ใช้อื่น ๆ ที่ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับของจริง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบของผู้หลอกลวง เช่น ผู้หลอกลวงพัฒนาหน้าเว็บไซต์ล็อกอินของ Facebook และส่งลิงก์หลอกลวงโดยแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จให้ผู้ใช้งานเข้าอัพเดทข้อมูลส่วนบุคคลโดยเป็นลิงก์ของหน้าล็อกอินที่ทำขึ้นมาดังที่กล่าวไว้ตอนต้น เมื่อผู้ใช้งานพยายามล็อกอินเข้าไปยังระบบ จะทำให้ผู้หลอกลวงดังกล่าวสามารถดักจับข้อมูลอันน่าเชื่อได้ว่าเป็นข้อมูลล็อกอินของผู้ใช้งานคนนั้นๆ ทำให้ข้อมูลหรือบัญชีการใช้งานนั้นๆ มีความเสี่ยงที่จะโดนขโมยข้อมูลออกไป ซึ่งลิงก์ที่เป็นการฟิชชิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะแนบไปกับอีเมล หรือเป็นลิงก์ซึ่งมีเนื้อหาเชิญชวนต่างๆ โดยความรุนแรงของการถูกขโมยข้อมูลดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบในทันทีถ้าหากมีการเข้ายับยั้งได้ทัน เช่น เมื่อทราบว่าได้มีการส่งข้อมูลเข้าหน้าเว็บไซต์ฟิชชิ่งไปแล้ว จึงรีบเข้าเปลี่ยนรหัสผ่านในหน้าเว็บไซต์ของระบบจริงทันที ก็จะทำให้ความเสียหายไม่เกิดขึ้นในวงกว้าง แต่หากผู้ใช้งานปล่อยให้ผู้หลอกลวงสามารถเข้าถึงบัญชีการใช้งานต่างๆ ซึ่งในกรณีที่เป็นระบบที่มีความเสียหายรุนแรง เช่น ระบบธุรกรรมออนไลน์ (e-Transaction) นั่นเท่ากับผู้หลอกลวงจะสามารถใช้เงินในบัญชีผู้ใช้งานนั้นได้ทันที
      • ช่องโหว่ของโปรแกรมประเภทเบราว์เซอร์ คือ ช่องโหว่ที่ถูกพบในโปรแกรมเบราว์เซอร์หรือโปรแกรมปลั๊กอินที่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ในเบราว์เซอร์ เช่น Flash player หรือ PDF Reader เพื่อวัตถุประสงค์อันตราย โดยลักษณะและวิธีการโจมตีอาจเป็นเพียงแค่การให้ผู้ใช้งานเข้าชมหน้าเว็บไซต์เท่านั้น จากนั้นจะทำให้ผู้ใช้งานติดมัลแวร์หรือโปรแกรมอันตรายต่างๆ ที่ผู้โจมตีใช้สำหรับช่องโหว่ดังกล่าว
    • ภัยคุกคามจากการใช้งานเครือข่าย (Network Threats)
      โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันมักจะสนับสนุนการใช้งานเครือข่ายไร้สาย ซึ่งมีผู้ให้บริการเป็นจำนวนมาก ทั้งที่น่าเชื่อถือและไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยมีภัยคุกคามที่สามารถส่งผลกระทบต่อการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือต่างๆ ได้ดังนี้
      • การเปลี่ยนสถานะจากผู้ใช้งานเป็นผู้โจมตี ผ่านข้อบกพร่องของระบบปฎิบัติการบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งผลให้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถส่งต่อหรือแพร่กระจายมัลแวร์ได้โดยอัตโนมัติ ผ่านการทำงานบนเครือข่าย เช่น เครือข่ายไร้สาย (WiFi) หรือ บลูทูธ (Bluetooth)
      • การถูกดักจับข้อมูลบนเครือข่ายไร้สาย (WiFi sniffing) [5] คือลักษณะการขโมยข้อมูลบนเครือข่ายไร้สาย ซึ่งโดยทั่วไปเป็นข้อมูลที่รับส่งกันโดยไม่ได้มีการเข้ารหัสความปลอดภัยที่เหมาะสม ทำให้มีโอกาสถูกลักลอบขโมยข้อมูลได้โดยง่าย เพียงแค่ใช้เทคนิคและวิธีในการดักจับข้อมูลจากโปรแกรมประเภท Sniffer ซึ่งหาข้อมูลได้ตามเว็บไซต์ทั่วไป โดยในที่นี้ขอยกตัวอย่างวิธีการใช้งานโปรแกรมชื่อ Firesheep ซึ่งเป็นปลั๊กอินบนเบราว์เซอร์ Firefox ที่ใช้ในการดักจับข้อมูลในเครือข่ายเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป้าหมายมักใช้งานเครือข่ายไร้สายสาธารณะ และไม่ได้เชื่อมต่อบริการเว็บไซต์ที่มีการเข้ารหัส HTTPS โดยลักษณะการทำงานของโปรแกรมจะมีการดักจับข้อมูลแล้วกรองข้อมูลเพื่อค้นหา Cookie ซึ่งคือข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตนกับเว็บไซต์ที่เข้าใช้บริการ โดยข้อมูล Cookie ที่กล่าวถึงจะถูกเก็บไว้ในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งานหลังจากที่มีการล็อกอินเว็บไซต์ จากนั้นโปรแกรมจะแสดงรายการที่ดักจับได้ทั้งหมด ซึ่งผู้ใช้งานโปรแกรมสามารถคลิกที่รายการดังกล่าวเพื่อสวมรอยเข้าเป็นผู้ใช้งานนั้นๆ ดังแสดงในรูปด้านล่าง

      • ภัยคุกคามจากการดูแลรักษาโทรศัพท์ (Physical Threats) 
      • เนื่องจากโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ซึ่งออกแบบให้พกพาและติตตัวไปมาได้สะดวก จึงมีรูปแบบที่ค่อนข้างเล็ก ซึ่งจากสภาพการณ์ปัจจุบันโทรศัพท์เป็นของมีค่าสำหรับมิจฉาชีพ รวมไปถึงมีค่าสำหรับกลุ่มคนบางกลุ่มที่ต้องการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้แยกภัยคุกคามที่เกิดจากการดูแลรักษาโทรศัพท์มือถือไว้เพื่อพิจารณาความสำคัญอยู่ 2 ประเภทดังนี้
        • การสูญหายหรือการถูกขโมยโทรศัพท์มือถือ เนื่องด้วยปัจจุบันโทรศัพท์มือถือมีราคาสูงขึ้น อาจเพราะสาเหตุของเทคโนโลยีที่อยู่ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ หรือเพราะค่านิยมทางสังคมที่ทำให้ต้องใช้โทรศัพท์มือถือราคาแพง แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตามการใช้งานโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนับเป็นเป้าหมายของกลุ่มมิจฉาชีพทั่วไป เนื่องจากเป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก มีโอกาสถูกขโมยได้ง่าย และมีตลาดที่มีความต้องการหรือรองรับการซื้อขายได้มากมายโดยที่ไม่มีการตรวจสอบแหล่งที่มา ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่ผู้ใช้งานจะมีโอกาสถูกกลุ่มมิจฉาชีพขโมยโทรศัพท์มือถือ หรือด้วยขนาดของอุปกรณ์มือถือที่เล็กอยู่แล้วอาจทำให้มีโอกาสที่จะลืมหรือทำตกหล่นได้ง่าย
การถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและทุกสถานการณ์ทั้งโดยตั้งใจแต่แรกหรือเป็นเพราะโอกาสที่เปิดกว้างจนทำให้ผู้อื่นสบโอกาสที่จะขโมยข้อมูลส่วนบุคคล มักเกิดขึ้นจากความไม่ใส่ใจและความไม่ตระหนักถึงความปลอดภัยของข้อมูลภายในโทรศัพท์มือถือ ทำให้ผู้ไม่หวังดีขโมยข้อมูลส่วนบุคคลไปได้โดยง่าย เช่น การแอบดูข้อมูลการล๊อกอินเข้าสู่ระบบจากโทรศัพท์มือถือ หรือการนำโทรศัพท์มือถือไปซ่อมที่ร้านโดยไม่ได้ทำการเคลียร์ข้อมูลการใช้งานก่อน โดยข้อมูลส่วนบุคคลที่หมายถึงอาจไม่ใช่เพียงข้อมูลส่วนตัวเพียงเท่านั้นแต่จะพบว่าเป็นข้อมูลขององค์กรด้วย อาจเป็นเอกสารขององค์กร ข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่องาน รวมไปถึงข้อมูลที่อยู่ในระบบต่างๆ เช่น ข้อมูลบัญชีธนาคาร ข้อมูลอีเมลขององค์กร ซึ่งข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานั้น หากถูกขโมยข้อมูลขึ้นมาจริงแล้ว คงไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้เป็นอย่างแน่นอน 
อ้างอิง  https://www.thaicert.or.th/papers/general/2011/pa2011ge010.html




วิธีเลือกซื้อสมาร์ทโฟน

วิธีเลือกซื้อสมาร์ทโฟน

วิธีเลือกซื้อสมาร์ทโฟน อย่างคุ้มค่า
คำแนะนำก่อนซื้อสมาร์ทโฟนยุคใหม่ ฉบับเจาะลึก!!!!
ปัจจุบันสมาร์ทโฟนแอนดรอยนั้นมีมากมีหลากหลายรุ่นหลากหลายแบบ หลากหลายราคา ซึ่งข้อดีของมันคือทำให้มีตัวเลือกให้เลือกซื้อมากมาย ปัญหาคือ เราจะเลือกแบบไหนให้ตรงกับการใช้งานของเรามากที่สุด หรือตัวไหน ที่เราชอบเราโดนใจ แต่สเปกมันเหมาะกับเรารึป่าว มาดูกันเลย
Smartphones2
1.หน้าจอ
หน้า จอบนสมาร์ทโฟนนั้น ตอนนี้เรียกว่าเป็นตัวเลือกแรกสำหรับหลายๆคนเลยนะครับ ขนาดของจอนั้นก็มีหลากหลายแบบครับ ตั้งแต่ 2.8 นิ้ว ไปจนถึง 4.7 นิ้วในสมาร์ทโฟน และ 5 ถึง 5.5 นิ้วสำหรับ โฟนเล็ต และ 7 ถึง 10.1 นิ้ว สำหรับแท็บเล็ตครับ มันยังไม่จบแค่นั้นครับ เราต้องดูด้วยว่า จอขนาดที่เราต้องการนั้นเน้นกว้างหรือเน้นยาว ด้วยการดูอัตราส่วน ถ้าชอบแบบกว้างก็จะเป็นข้อดีในการพิมพ์และเหมาะกับคนนิ้วใหญ่ แต่ถ้าเน้นจอยาวก็ได้เน้นด้านมัลติมีเดียและการเล่นเกมที่สะดวก
interface4
2.ความแข็งแรงของหน้าจอ
สมาร์ท โฟนในปัจจุบันนั้นมีราคาสูง และมีความบาง + ดีไซร์ที่สวยงาม เพราะฉะนั้น เราเสียเงินซื้อมันมาก็ต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษ แต่ปัญหาคือบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ระมัดระวังมากเท่าที่ควร หรือไม่ว่างพอที่จะหาอะไรมาป้องกันสมาร์ทโฟนของเรา แต่ดีที่ปัจจุบันสมาร์ทโฟนหันมาใช้เทคโนโลยีกระจกจอกันรอยขีดข่วน เพราะถึงแม้เราจะไม่ไปติดฟิลม์ที่ร้าน สมาร์ทโฟนตัวเก่งของคุณก็จะมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อรอยนานาชนิด แต่ถ้าไม่ไว้วางใจก็ไปติดฟิลม์ก็ได้
3.User Interface (UI) หรือ Sense
แต่ ละค่ายที่ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยหลักๆเลยคือ ASUS Acer HTC Samsung LG Sony Motorola OPPO Huawei ซึ่งแต่ละค่ายนั้นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่แน่ๆเลยก็คือ UI หรือ Sense ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้แตกต่างกันที่ความสวยงามนะครับ มันยังรวมไปถึงการใช้งานของตัวเครื่องเกือบทั้งหมด บาง UI ทำให้การใช้งานง่ายขึ้น เครื่องเร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เครื่องมากขึ้น และมีลูกเล่นที่ไม่เหมือนใครในสมาร์ทโฟนของค่ายนั้นๆ ซึ่งใครชอบแบบไหนก็แล้วแต่สไตล์เลยครับ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมี Launcher ที่จะปรับแต่งให้สมาร์ทโฟนของคุณสวยและมีให้เลือกมากมาย แต่ก็ครอบ UI ของคุณอีกที มาดูกันครับว่า UI ของแต่ละค่ายเป็นยังไง

smartphones4
4.OS หรือ ระบบปฏิบัติการ
นี่ เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟน คุณต้องรู้ก่อนว่าระบบไหนตอบโจทย์คุณได้ดีที่สุด ศึกษาวิธีใช้ด้วยการดูรีวิวบนอินเตอร์เน็ตหรือดูวิดิโอจากยูทูป การไปเล่นของคนรู้จักหรือไปลองเล่นที่ร้านแล้วให้พนักงานแนะนำเลยก็ได้ครับ คนแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ เพราะฉะนั้นก็จะชอบอะไรที่แตกต่างกัน และการตอบโจทย์ของระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน เน้นแชต ก็หนักไปทาง BB เน้นมัลติมีเดียก็ไปทาง IOS แต่ถ้าเน้นมัลติมีเดียและการแชร์ที่ง่ายดายก็ Android หากชอบแบบไหนก็ศึกษาตัวนั้นให้ดีก่อนที่จะซื้อ หากซื้อมาเล่นไม่เป็นมันก็จะยุ่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะเล่นไปสักพักเดี๋ยวก็เป็น แต่ประเด็นคือ ซื้อมาแล้วคุณได้ใช้ประโยชน์จากมันมากน้อยแค่ไหน
interface

5.
หากหนักไปทางแอนดรอยดูทางนี้
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการเกินครึ่งของผู้อ่านจะนึกถึง Android เป็นอันดับแรก แต่เนื่องจากตลาดในปัจจุบันมีแอนดรอยโฟนเยอะมาก ทำให้เรามีตัวเลือกเยอะ ซึ่งในบรรดาสมาร์ทโฟนแอนดรอยทั้งหมดนั้นจะมีเวอร์ชั่นที่แตกต่างกันไป ตั้ง 1.6 2.0 2.1 2.2 2.3 3.0 3.2 4.0 แน่นอนว่าหลายๆเครื่องสมาร์ทที่จะอัพเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดได้ แต่ถ้ารุ่นที่เราอยากได้ดันอัพเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดไม่ได้ ผมจะพาไปดูประวัติแอนดรอยกัน
6.สเปกตัวเครื่อง
นี่ ก็เป็นอีกสิ่งที่เราต้องดูต้องศึกษาก่อนซื้อสมาร์ทโฟนครับ เพราะถ้าเราอยากได้สมาร์ทโฟนที่แรง เร็ว เราก็ต้องเลือกสมาร์ทโฟนที่มีสเปกสูงๆ อันประกอบไปด้วย Ram CPU และอีกหลายๆองค์ประกอบครับ เพราะแอนดรอยนั้นมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เครื่องแรง ไม่ว่าจะเป็น UI ที่ใช้ จำนวนแอปที่มีในเครื่อง มีส่วนหมดครับ อยากได้เครื่องแรงก็ต้องเลือก CPU ที่แรงเร็ว Single Core (1 คอร์ประมวลผล) Dual Core (2 คอร์ช่วยกันประมวลผล) และ Quad Core (4 สมอง 2มือ 555) แต่ปัยหาคือ CPU นั้นมีหลากหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อนั้นก็มีความเร็วและ GPU ที่แตกต่างกันด้วย 
7.ระบบสั่งงานด้วยเสียง 
หรือ ชื่อเป็นทางการคือ Intelligent Personal Assistant เป็นระบบเก่าที่เอามาเล่าใหม่ พร้อมใส่ลูกเล่นสุดล้ำ ทำให้ปัจจุบันคนสนใจและตื่นตัวกับระบบนี้กันมากครับ แต่ข้อจำกัดคือ ถึงตอนนี้ระบบสั่งงานด้วยเสียงจะมีหลากหลายตัว ซึ่งแต่ละตัวจะถูกฝั่งอยู่ในระบบปฏิบัติการนั้นๆเลย ทำให้ไม่สามารถย้ายไปลงเครื่องอื่นได้ อยากใช้อันไหนต้องซื้อสมาร์ทโฟนระบบนั้นๆ ถึงแม้ว่าจะมีแอปเกี่ยวกับพวก Intelligent Personal Assistant ออกมาแต่ก็ไม่สู้กับตัวที่ติดมากับ OS (หรือมี!!!) ผมจะพาไปดูระบบ Intelligent Personal Assistant 4 ตัวครับ ว่ามีตัวไหนน่าสนใจที่สุด
8.ล้ำยุคไปกับเทคโนโลยี Bluetooth 3.0 และ NFC
2 ระบบนี้เป็นระบบที่ใหม่(ก็ไม่ใหม่เท่าไหร่นะ) แต่ความสามารถของมันนั้นเยอะและล้ำสุดๆครับ Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานจนมาถึงเวอร์ชันปัจจุบัน คือ 3.0 ซึ่งเพิ่มความสามารถที่หลากหลายขึ้น ส่วนเจ้า NFC เป็นน้องใหม่ที่มีมาได้สักพักใหญ่ๆละ แต่พึ่งจะมาดังในช่วงต้นปี 2012 ที่ผ่านมา NFC ไม่ได้มาแทนที่เทคโนโลยี Bluetooth แต่มาเสริมช่องว่างที่ Bluetooth ไม่มี Bluetooth เค้าก็ยังคงรักษาการส่งไฟล์คุณภาพอยู่ แต่ NFC ก็จะเน้นไปที่การใช้งานเล็กๆน้อยๆ แต่รวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันสมาร์ทโฟนใหม่ๆก็รองรับทั้ง 2 เทคโนโลยี
9.กล้อง
กล้อง บนสมาร์ทโฟนในปัจจุบันมีความละเอียดสูงมากครับ ตั้งแต่ VGA 1.6 ไปจนถึง 12.1 ล้านพิกเซล หากเราไปเจอสมาร์ทโฟนที่อยากได้แต่ดันมีความละเอียดกล้องเท่ากัน เราลองมามองในส่วนของลูกเล่นกล้องดู ว่ามีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง 
10.ราคาและความคุ้มค่า
มา ถึงข้อสุดท้ายหากเลือกสมาร์ทโฟนที่ชอบได้แล้วก่อนซื้อก็ต้องมาเช็คราคากันก่อนว่าเหมาะสมกับสเปกมั้ย หรือว่ามีรุ่นที่สเปกเหมือนกัน ไกล้เคียงกัน แต่มีราคาที่ถูกกว่า อีกวิธีคือ เช็คศูนย์ต่างๆว่าราคาเครื่องเป็นยังไง มีโปรโมชันของแถมอะไรมั้ย เราอาจจะเลือกไปร้านหรือศูนย์ที่ถูกที่สุดก็ได้แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆต้องการมากแต่งบไม่ถึง จะลองหันไปเล่นสมาร์ทโฟนมือ 2 ก็ได้
ระบบปฏิบัติการสมาร์ตโฟน ที่มีให้เลือกอยากมากมายในปัจจุบัน วัยรุ่นและคนทำงานส่วนใหญ่จะเลือกสมาร์ตโฟน แพลตฟอร์ม  6 ระบบปฏิบัติการเช่น  iOS จาก apple  , Android พัฒนาโดย Google , WindowsPhone7 จาก Microsoft , Symbian จาก NOKIA  , Blackberry OS จาก RIM Blackberry และ BADA จาก SAMSUNG และเร็วๆนี้อาจมาไทยคือ HP Palm จาก HP ที่ซื้อกิจการจาก Palm
1.Application ที่จะช่วยให้สมาร์ตโฟน องผู้ใช้มีความสามารถมากว่าเป็นเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ธรรมดา ซึ่งแต่ละระบบปฏิบัติการจะมี Application ที่ให้ผู้ใช้เลือกใช้ แตกต่างกันทั้งในด้านคุณภาพ และปริมาณ
2.คุณภาพเสียงบนลำโพงของสมาร์ตโฟน
เป็นอีกปัจจัยทางด้านความบันเทิง และความชัดเจนของเสียงในการสนทนา
3.หน่วยความจำ
พิจารณาว่าหน่วยความจำในตัวเครื่องมีขนาดเท่าไร ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นสมาร์ตโฟนราคาสูง ๆ จะมีเนื้อที่หน่วยความจำภายในตัวเครื่องสูงด้วยเช่นกัน และบางรุ่นก็จะมีช่องสำหรับใส่  SD card หรือ mini SD card เพิ่มเติมได้ เพื่อขยายความสามารถของเครื่องในการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูล รูปภาพต่างๆหรือแม้แต่การลงโปรแกรม แต่ก็มีบางรุ่นที่ไม่มีช่อง ใส่ SD Card เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ ดังนั้นควรศึกษาเรื่องหน่วยความจำในแต่ละรุ่นให้ดี ยิ่งถ้าเป็นรุ่นที่ราคาต่ำมาก ยิ่งต้องดูหน่วยความจำด้วยว่าเนื้อที่หน่วยความจำในเครื่องเพียงพอที่ลง โปรแกรมตามความต้องการของเราหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เครื่องราคาถูกจะให้หน่วยความจำน้อยมาก จึงลงแอพพลิเคชั่นบนมือถือได้น้อย
4.การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
สมาร์ตโฟนส่วนใหญ่จะมี Bluetooth , Wi-fi  และต้องตรวจสอบว่ารองรับการเชื่อมต่อแบบ 3G หรือ ไม่?   หากมี ก็ต้องดูว่าสมาร์ตโฟน รองรับความถี่ใดบ้าง สมาร์ตโฟน บางรุ่นยังสามารถเป็น ตัว wi-fi Hotspot โดยรับสัญญาณ 3G กระจายสัญญาณ wi-fi ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็บเล็ตเครื่องอื่นสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้พร้อมๆกันได้ด้วย
5.อุปกรณ์เสริม  Port USB
เพื่อให้สามารถถ่ายโอนไฟล์ได้, หูฟังต้องใช้กับหูฟังขนาดใด, มีหน้ากากมือถือ, เคส, ซิลิโคนสำหรับมือถือรุ่นนั้นหรือไม่, สมาร์ตโฟน บางรุ่นต่อออกจอโทรทัศน์ผ่าน HDMI ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานของผู้ใช้, สมาร์ตโฟนบางรุ่นรองรับเทคโนโลยี NFC ในการชำระสินค้า (เป็นที่นิยมในต่างประเทศ) เป็นต้น
6.การรับประกันและบริการหลังการขาย
ส่วนใหญ่จะประกัน 1 ปี บางยี่ห้อสามารถขยายประกันสมาร์ตโฟนที่มีราคาสูง ๆ ที่ประกันสามารถส่งซ่อมไปที่ศูนย์ บริการได้ทุกสาขาทั่วโลก และขยายประกันได้ หรือแบรนด์อื่น หรือมีบริการรับซ่อมมือถือ ถึงบ้าน เป็นต้น
ยุคสื่อสารไร้พรหมแดน เทคโนโลยีระบบปฏิบัติการในโทรศัพท์มือถือได้ถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยเพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นและได้แตกขยายสาขาออกเป็นหลายสำนัก ถ้านับเป็นสัดส่วนของมือถือที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะแบ่งดังนี้
  1. BlackBerry OS ระบบปฏิบัติการของบริษัท Research In Motion ซึ่งใช้งานในโทรศัพท์มือถือ BlackBerry
  2. iOS ระบบที่พัฒนามาจาก Mac OS X ที่ใช้งานในเครื่อง Apple Macintosh เพื่อนำมาใช้งานในโทรศัพท์มือถือ iPhone และเครื่องเล่นเพลงพกพา iPod touch
  3. Windows Phone ระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือ จากค่าย Microsoft ชื่อเดิมคือ Windows Mobile ซึ่งถือเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของโทรศัพท์ประเภทสมาร์ทโฟน หรือ พ๊อกเก็ตพีซี (Pocket PC) ซึ่งมีการออกแบบให้มีความคล้ายคลึง รูปลักษณ์ ให้คล้ายกับ ระบบปฏิบัติการ Windows ที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป
  4. Android ระบบปฏิบัติการที่ได้รับการสนับสนุนจาก Google โดยมีพื้นฐานจากระบบปฏิบัติการ Linux โดยมีการพัฒนาต่อยอด พร้อมทั้งเปิดเผยซอร์สโค้ดเป็นแบบ Open Source
  5. Symbian เดิมที เป็นการรวมตัวกันของแบรนด์โทรศัพท์ชื่อดังหลายเจ้า (เช่น Sony Ericsson, Nokia, Motorola, Psion ฯลฯ) ร่วมกันลงทุนในการพัฒนาระบบปฏิบัติการ ที่สามารถนำไปใช้งานได้ในโทรศัพท์มือถือหลาย สเป็ค ซึ่งเป็นส่วนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Symbian มีปริมาณมากกว่าระบบปฏิบัติการตัวอื่น ชื่อที่พอจะคุ้นหูกันบ้าง เช่น รุ่น S60 เป็นต้น และเมื่อ พ.ศ.2551 บริษัท Nokia ได้ทำการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นรายอื่น และประกาศให้โค้ดของ Symbian เป็น Open Source ภายใต้การดำเนินงานของ Symbian Foundation (wikipedia.org, 2009)
นักเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนคาดว่าในอีก 2-3 ปี ยอดใช้มือถือสมาร์ตโฟน ทั่วโลกจะสูงมากกว่า โทรศัพท์มือถือธรรมดา เพราะในอนาคตทุกคนจะใช้สมาร์ตโฟน แทนที่คอมพิวเตอร์ โดยผลการวิจัยจาก Comscore พบว่าในตลาดสมาร์ตโฟนของประเทศอเมริกา นั่นคือ Android 41.8%, iOS 27%, BlackBerry OS  21.7%, Windows Phone 5.7%, และ Symbian 1.9% สำหรับประเทศไทย Symbian 35%, Android 25%, BlackBerry OS  21%, iOS 12% และ Windows Phone

วิดีโอ รีวิว Samsung  galaxy j2



อ้างอิง  https://tdo2029.wordpress.com/

สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่างกันอย่างไร?


สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตต่างกันอย่างไร?


สมาร์ทโฟน (SmartPhone)

สมาร์ทโฟนคือโทรศัพท์มือถือที่นอกเหนือจากใช้โทรออก-รับสายแล้วยังมีแอ พพลิเคชั่นให้ใช้งานมากมาย สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G, Wi-Fi และสามารถใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำ เช่น LINE, Youtube, Facebook, Twitter ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งลูกเล่นการใช้งานสมาร์ทโฟนให้ตรงกับความต้องการ ได้มากกว่ามือถือธรรมดา ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ นิยมผลิตสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอระบบสัมผัส, ใส่กล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูง, ออกแบบดีไซน์ให้สวยงามทันสมัย, มีแอพพลิเคชั่นและลูกเล่นที่น่าสนใจ
ฟีเจอร์หลักที่มีอยู่ในสมาร์ทโฟน
แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีการกำหนดมาตรฐานของ “สมาร์ทโฟน” ออกมาอย่างชัดเจน แต่แนวโน้มในภาคอุตสาหกรรมตลาดมือถือก็ได้ปรับตัวเข้าหาผู้บริโภคมากขึ้นและ เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนต้องการ โดยสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ในสมาร์ทโฟนนั้นได้แก่
Operating System (ระบบปฏิบัติการ)
โดยทั่วไปสมาร์ทโฟนแต่ละเครื่องจะขึ้นกับระบบปฏิบัติการที่ใช้งาน ซึ่งระบบปฏิบัติการเหล่านั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนสามารถเข้าถึงแอ พพลิเคชั่นต่างๆ บนระบบนั้นได้ เช่น iPhone ของ Apple รันระบบปฏิบัติการ iOS, สมาร์ทโฟน BlackBerry รันระบบปฏิบัติการ BlackBerry OS, สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รันระบบปฏิบัติการ Android OS, สมาร์ทโฟน Windows Phone รันระบบปฏิบัติการ Windows Phone เป็นต้น
Application (แอพพลิเคชั่น)
มือถือพื้นฐานโดยทั่วไป จะมีแอพพลิเคชั่นพื้นฐานอยู่ภายในเครื่อง ตัวอย่างเช่น สมุดรายชื่อผู้ติดต่อ, บันทึกการใช้งานโทรศัพท์, ฟังก์ชั่นรับ-ส่งข้อความ SMS เป็นต้น แต่สำหรับสมาร์ทโฟนจะมีแอพพลิเคชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้หลากหลายและ ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น เช่น สมาร์ทโฟนบางรุ่นสามารถสร้าง-แก้ไขเอกสาร Office, บางรุ่นสามารถวาดเขียนลงไปบนหน้าจอพร้อมบันทึกเป็นรูปภาพ, บางรุ่นสามารถใช้เป็นเนวิเกเตอร์นำทางขณะขับขี่รถยนต์ได้
Web Access (การท่องเว็บไซต์)
การเติบโตของบริการเครือข่าย 3G และ 4G ในปัจจุบัน ช่วยให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนสามารถท่องอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงภายในไม่ กี่วินาที นอกจากนี้สมาร์ทโฟนทั่วไปยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi สำหรับการท่องอินเทอร์เน็ตผ่านการเชื่อมต่อไร้สายภายในที่พักอาศัยหรือสำนัก งาน
QWERTY Keyboard (แป้นพิมพ์ QWERTY)
สมาร์ทโฟนทั่วไปจะมีแป้นพิมพ์ที่จัดเรียงตัวอักษรคล้ายคลึงกับคีย์บอร์ด ของคอมพิวเตอร์ แนวโน้มของคีย์บอร์ดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันจะอยู่ในรูปแบบปุ่มสัมผัสบนหน้าจอ (touch screen keyboard) ในขณะที่สมาร์ทโฟนบางรุ่น (ส่วนน้อย) ยังคงเป็นคีย์บอร์ดแบบปุ่มกด (button keyboard)
Messaging (การส่งข้อความ)
โทรศัพท์มือถือทั่วๆ ไป สามารถรับ-ส่งข้อความตัวอักษรได้ แต่สิ่งที่แยกสมาร์ทโฟนออกจากโทรศัพท์มือถือทั่วไปก็คือ ในสมาร์ทโฟนจะมีการจัดการ e-mail ซึ่งสามารถซิงค์กับข้อมูลส่วนบุคคลและเรียกใช้งานผ่านบัญชีอีเมล์ชั้นนำ เช่น Gmail, Hotmail เป็นต้น
แนวโน้มของสมาร์ทโฟนยังคงเป็นสินค้าขายดีในตลาด โดยในปัจจุบันและอนาคตผู้ผลิตจะเน้นไปที่ความเร็วในการประมวลผล, การออกแบบหน้าจอให้มีขนาดใหญ่ ความละเอียดสูงและคมชัด (สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ บางรุ่นมีขนาดหน้าจอ 5-5.4 นิ้วขึ้นไปเลยทีเดียว), การปรับปรุงคุณภาพของกล้องถ่ายรูป, การแก้ปัญหาแบตเตอรี่หมดไว, การออกแอพพลิเคชั่นหรือลูกเล่นใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
แท็บเล็ต (Tablet)
แท็บเล็ต คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ มีขนาดหน้าจอตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป พกพาได้สะดวก สามารถใช้งานหน้าจอผ่านการสัมผัสผ่านปลายนิ้วได้โดยตรง มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะรับ-ส่งอีเมล์, เล่นอินเทอร์เน็ต, ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม หรือแม้กระทั่งใช้ทำงานเอกสารออฟฟิต ข้อดีของแท็บเล็ตคือมีหน้าจอที่กว้าง ทำให้มีพื้นที่การใช้งานเยอะ มีน้ำหนักเบา พกพาได้สะดวกกว่าโน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ สามารถจดบันทึกหรือใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษาได้เป็นอย่างดี
แฟบเล็ต (Phablet)
แฟบเล็ต คืออุปกรณ์สมาร์ทโฟนกึ่งแท็บเล็ต ที่มีขนาดหน้าจออยู่ระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต (5-7 นิ้ว) ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต แต่ไม่สะดวกพกพาอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นในเวลาเดียวกัน โดย Phablet เกิดจากการผสมคำว่า “Ph + ablet” จากคำว่า “Phone” และ “Tablet” เข้าด้วยกัน นักวิจัยตลาดคาดว่าอุปกรณ์แฟบเล็ตจะกลายเป็นสินค้าที่น่าจับตามองในอนาคต โดยกระแสของ Phablet ในปี 2011-2012 ถือว่าเริ่มต้นมาได้ดี และคาดว่าในอนาคตจะมีอุปกรณ์แฟบเล็ตเข้าสู่ตลาดเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคมาก ขึ้น
ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแฟ็บเล็ต เป็นสินค้าไอทีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายและความสะดวกในการพกพา อย่างไรก็ตาม นอกจากรู้จักประเภทของอุปกรณ์เหล่านี้แล้วควรศึกษาข้อมูลสเปก ฟังก์ชั่นการใช้งาน และตรวจสอบรายละเอียดจากผู้จำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้อีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ มาใช้งาน


อ้างอิง http://news.siamphone.com/news-14121.html


ประเภทของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน


ประเภทของโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน

แบ่งได้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. Basic Phone  อันดับแรกมาเริ่มที่ เบสิคโฟนกันก่อน สำหรับเบสิคโฟนก็ตามตัวเลยค่ะ เป็นโทรศัพท์ทั่วไป เพียงแค่มีฟังก์ชั่นพื้นฐานในการเป็นโทรศัพท์ นั่นคือการโทรออกรับสาย ก็เป็นเบสิคโฟนได้แล้ว จะเป็นมือถือจอสีหรือขาว-ดำก็ได้ ตัวอย่างเช่น Nokia 3315 (รุ่นยอดนิยม) Motorola C115 เป็นต้น

2. Smart Phone  สมาร์ทโฟนคือโทรศัพท์ที่รองรับระบบปฏิบัติการต่างๆ ที่ย่อเอาความสามารถในการรับส่งข้อมูล ดูหนัง ฟังเพลง การจัดการไฟล์ต่างๆ ที่เทียบได้กับคอมพิวเตอร์พื้นฐานย่อมๆตัวหนึ่ง ทำให้โทรศัพท์มือถือได้เพิ่มความสามารถมากไปกว่าการโทรออกรับสาย สมาร์ทโฟนนั้นอาจแบ่งย่อยได้อีกดังจะกล่าวต่อไป ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีระบบที่แตกต่างกัน แล้วแต่การผลิตของแต่ละยี่ห้อ
แต่จะว่าไปคำว่าสมาร์ทโฟนก็อาจเข้าใจได้อีกแบบคือความสมาร์ทแบบที่ไม่ได้ด้วยทฤษฏีหรือระบบปฏิบัติการณ์ หรือบางคนอาจเรียกได้ว่า Semi Smart Phone คือโทรศัพท์ที่มีคุณสมบัติความเป็นสมาร์ทโฟนอยู่ในตัว อย่างเช่น S700i บางคนอาจถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนตัวนึงเลยค่ะ

3. Symbian Phone  ซิมเบี้ยนเป็นสมาร์ทโฟนแบบหนึ่ง เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน สาเหตุหลักๆก็คงเป็นเพราะหนึ่งในหุ้นนั้นคือบริษัทโนเกียเจ้าแห่งมือถือในปัจจุบัน ซิมเบี้ยนเกิดขึ้นจากการร่วมกันพัฒนาระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Nokia ,Ericsson, Motorola, และ PSION ในปี 1998 ในปีต่อๆมาบริษัท Panasonic , Sony ,Sanyo ,Kenwood ก็เข้ามาร่วมด้วย โทรศัพท์ Symbian Phone เครื่องแรกเปิดตัวในปี 2001 นั่นคือรุ่น Ericsson R380s ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากได้อย่างงดงามในต่างประเทศ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย ซิ้มเบี้ยนได้รับความนิยมมากจึงมีโปรแกรมรองรับออกมามาก ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมที่เกี่ยวกับการจัดการงานต่างๆ หรือ เกมส์ก็มีออกมาให้เลือกเล่นเยอะทีเดียวค่ะ ตัวอย่างของโทรศัพท์ซิมเบี้ยนก็เช่น Nokia 7610, Nokia 6680 , Siemens SX 1, Panasonic X700

4. PDA Phone พีดีเอโฟน เป็นการนำเอาความเป็นโทรศัพท์มือถือไปใส่รวมกับพีดีเอซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องช่วยจัดการข้อมูลส่วนตัว PDAs ( Personal Digital Assistance) เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก สามารถใช้งานได้หลายอย่างทั้ง Organizer, ใช้งาน internet, E-mail , เครื่องเล่น MP3 , กล้อง Digital , อ่าน E-Book , ดิกชันนารี สามารถจัดการโอนถ่ายข้อมูล (Sync) ผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ พีดีเอมีระบบปฏิบัติการของตัวเองเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ ในขณะนี้มีหลักๆจาก 2 ค่ายนั่นคือ
- PPC Phone Pocket PC ถูกพัฒนามาจากค่อยไมโครซอฟท์ ได้รับความนิยมมากในสำหรับตลาด PDA มีผู้ใช้งานมาก ใช้งานง่าย คล้ายกับคอมพิวเตอร์ ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows CE นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วยังสามารถแก้ไขและจัดการกับงานออฟฟิศเหมือนในคอมพิวเตอร์อย่าง Word, Excel ได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น O2 mini, O2 XDA IIs

- Palm Phone ใช้งานด้วยระบบปฏิบัติการ Palm Os พัฒนามาจากบริษัท Palm การใช้งานในส่วนต่างๆนั้นจะเหมือนย่อมาจาก PDA ภาพรวมของมือถือจาก Palm เลยจะมีจุดเด่นอยู่ที่คุณสมบัติการเป็น Organizer ที่ดี Palm Os นี้มีอยู่ในโทรศัพท์ของ Palm เอง เช่น
Palm Xplore G88/G18, Palm One Treo650

5. Multimedia Phone มัลติมีเดียโฟนคือ โทรศัพท์ที่มีคุณสมบัติในการดูหนัง ฟังเพลง และ ทางด้านความบันเทิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพส่งออกทาง mms การสร้างสีสันต่างๆให้กับโทรศัพท์ที่ไม่ใช่เพียงการโทรดออกรับสายและไม่ได้เน้นไปในทางการจัดการไฟล์และการเตือนการนัดหมาย ในปัจจุบันได้รับความนิยมมาก สังเกตุได้จากว่ามีโทรศัพท์ประเภทนี้ออกมามาก แต่ละรุ่นพยายามรวมความเป็นมัลติมีเดียออกมาให้ได้มากๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกการใช้งานได้อย่างหลากหลาย สิ่งที่มักมาควบคู่กับมัลติมีเดียโฟนคือหน่วยความจำต่างๆเพื่อให้เพียงพอต่อการบันทึกไฟล์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเพลง ตัวอย่างเช่น Sony Ericsson S700i, Nokia 6230i , Motorola E680

6. Camera Phone ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือติดกล้องหรือ Camera phone เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น คุณภาพของภาพถ่ายและความละเอียดก็ถูกพัฒนาขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติหลายๆอย่างเข้าไปให้เปรียบเสมือนกล้องดิจิตอลทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็น โหมดมาโคร ที่ใช้ในการถ่ายภาพระยะใกล้ , การ Zoom, Flash หรือไฟช่วยส่องสว่าง การใส่กรอป ปรับสี ปรับแสงของภาพ หรือแม้แต่การถ่ายภาพเคลื่อนไหวหรือวีดีโอ และยังไม่ลืมคิดถึงรายละเอียดในการใช้งานอย่างการโอนถ่ายข้อมูลและการเพิ่มหน่วยความจำแบบต่างๆทำให้การเก็บรูปมีเนื้อที่มากขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ตัวอย่างเช่น Sharp Gx32 ซึ่งแม้จะออกมาปีกว่าแล้วก็ยังคงเป็นที่หนึ่งของ Camera Phone ในตลาด Gsm อยู่ , Samsung D500 , Sagem My-x-8

7. Fashion Phone สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจหลักของการเลือกซื้อมือถือก็คงจะไม่พ้นดีไซน์ของตัวเครื่องล่ะค่ะ แฟชั่นโฟนจึงเป็นโทรศัพท์อีกประเภทที่ถือว่าได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยทั่วไปจะถูกออกแบบมาฉีกแนว แปลกออกจากความเป็นโทรศัพท์ออกไป เช่นการเรียงปุ่มในแนวแปลกๆ หรือการออกแบบรูปร่างให้ไม่เหมือนใคร มีไสตล์ เรียกได้ว่าบางรุ่นเห็นแล้วอาจจะไม่คิดว่าเป็นโทรศัพท์ได้เลย อย่างเช่น Nokia 7280 ที่ไม่มีปุ่มกดตัวเลขเลยมีเพียง softkey ปุ่มโทรออกวางสายและปุ่มวงกลมที่ใช้หมุนในการเลือกตัวเลขหรือตัวหนังสือ เรียกได้ว่าเป็น Real Fashion Phone จริงๆ ส่วนมากแฟชั่นโฟนจะออกแบบมาอย่างพิถีพิถันทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง ปุ่มกด หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างชุดหูฟัง ซองหนัง ที่สำคัญราคาเปิดตัวก็มักออกมาสูงด้วย ^^ อย่างโนเกียก็จะเป็นพวก Series 7 ทั้งหลายเช่น 7600 7610 7280 7270 ยี่ห้ออื่นๆก็เช่น Siemens Xelibre

8. messaging Phone มีอยู่ช่วงหนึ่งการส่งข้อความถือเป็นที่นิยมมาก ก็เลยมีการออก messaging Phone มาตอบสนองความต้องการสำหรับผู้ใช้งาน จุดเด่นก็คือการมีปุ่มกดครบหรือเกือบครบทุกตัว เอื้อประโยชน์กับการพิมพ์ข้อความค่ะ เช่น Nokia 6820, 6800, 5100 , Siemens SK 65

9. High-End Phone โทรศัพท์มือถือ แบบ High-End เป็นโทรศัพท์ที่ออกแบบมาให้ดูหรูหรา ฟังก์ชั่นการใช้งานมักไม่ซับซ้อนเท่าใด เน้นการออกแบบและวัสดุที่นำมาใช้ดูทันสมัยและหรูหรา ตัวอย่างก็เช่น Nokia 8910i , Motorola V3RaZ-R , Mobiado, Vertu


อ้างอิง  http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=5598.0


วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ



วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ





พัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ
สามารถแบ่งยุคของการพัฒนา


ยุค 1G (1st Generation) 
เริ่มตั้งแต่ยุคแรก ระบบยังเป็นระบบอะนาล็อก (Analog) และมีการแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็กๆ ในยุคนี้เราสามารถใช้งานทางด้าน Voice ได้เพียงอย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ผู้ใช้ก็ยังไม่ได้มีความต้องการที่จะใช้บริการประเภทอื่น

ยุค 2G (2nd Generation) 

เนื่องจากผู้ใช้มีความต้องการและความหลากหลายด้าน การบริการมากขึ้น จึงได้มีการ
พัฒนาการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุจากแบบอะนาล็อกมาเป็นแบบ digital ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานทางด้านข้อมูลได้นอกเหนือจากบริการเสียง ทำให้ยุคนี้กลายเป็นยุคเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือ และเพราะการให้บริการทางด้านข้อมูลทำให้เกิดบริการอื่นๆ ที่ตามมมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นDownload Ringtone Wallpaper Graphic ต่างๆ แต่บริการในยุคนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

ยุค 2.5G (2.5 Generation)
 หลังจากนั้นเป็นยุคที่อยู่ระหว่าง 2G และ 3G ซึ่งก็คือ 2.5G ใน 2.5G นี้เป็นยุคที่มีการนำเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) มาใช้ เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มากกว่ายุค 2Gเทคโนโลยี GPRS สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 kbps แต่ ความเร็วของ GPRS ในการใช้งานจริงจะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น ซึ่งในยุค 2.5G นั้นจะเป็นยุคที่เริ่มมีการใช้บริการในส่วนของข้อมูลมากขึ้น และการส่งข้อความก็พัฒนาจาก SMS มาเป็น MMS โทรศัพท์มือถือก็เริ่มเปลี่ยนจากจอขาวดำมาเป็นจอสี เสียงเรียกเข้า จากเดิมที่เป็นเพียง Monotone ก็เปลี่ยนมาเป็น Polyphonic รวมไปถึง True tone ต่างๆ ด้วย

ต่อมาในยุค 2.75G คือยุคที่ต่อเนื่องมาจาก GPRS แต่จะมีการพัฒนาความเร็วในการส่งข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น และเรียกเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลว่า EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) ซึ่งจะมีความเร็วมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า หรือมีความเร็วสูงสุดประมาณ 384 kbps แต่มีความเร็วในการใช้งานจริงประมาณ 80-100 kbps

ยุค 3G (Third Generation)
 เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 นั้นจะเป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานการรับส่งข้อมูล และเทคโนโลยีที่อยู่ในปัจจุบันเข้าด้วยกัน รวมทั้งส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สาย (Wireless) ที่ความเร็วที่สูงกว่ายุค 2.75G นอกจากนี้ 3G ยังสามารถให้บริการมัลติมีเดียได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น (Application) รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น เช่น การรับส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ การใช้บริการ Video/Call Conference ดาวน์โหลดเพลง ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ ดู TV Streaming ต่างๆได้

ความโดดเด่นของ 3G
สามารถรับส่งข้อมูลโดยจะเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น สามารถให้บริการระบบเสียงและแอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น เครื่องเล่นวีดีโอ ฟังเพลง Mp3 ดาวน์โหลดเกม แสดงกราฟฟิก และการแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ สร้างความสนุกสนาน และสมจริงมากขึ้น รวมถึงการให้บริการ Mobile banking เช่น การโอนเงิน เช็คยอดเงิน ซื้อขายของ ซึ่งจะทำให้ชีวิตสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้นโดยโทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์แบบพกพา วิทยุส่วนตัว และกล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ) แก้ไขข้อมูลส่วนตัว ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์ ข่าวบันเทิง ข้อมูลด้านการเงิน ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว

4G ระบบโทรศัพท์มือถือที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบ เชื่อกันว่าโทรศัพท์มือถือในยุคนี้จะสามารถสนับสนุน แอปพลิเคชันที่ต้องการแบนด์วิธสูงเช่น ความจริงเสมือน 3 มิติ (3D virtual reality) หรือ ระบบวิดีโอที่โต้ตอบได้ (interactive video) เป็นต้น

ระบบปฏิบัติการมือถือ
ซิมเบียน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในค่ายโนเกีย
วินโดวส์โมบาย จะใช้กับโทรศัพท์มือถือที่เป็น PDA (Personal digital assistants)
ไอโฟน โอเอส ใช้เฉพาะใน ไอโฟน และ ไอพอดทัช"

อ้างอิง http://1234moblile.blogspot.com/2013/04/blog-post_23.html